เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องหมายแห่งความเป็นพระราชา ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องหมายแห่งความเป็นพระราชา จะใช้ในวันที่ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นเครื่องแสดงว่าได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินถูกต้องสมบูรณ์แล้ว
ในการนี้ ว่าด้วยเรื่องความสำคัญของเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องหมายแห่งความเป็นพระราชา ซึ่งพราหมณ์ผู้ทำพิธีจะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายในวันที่ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นเครื่องแสดงว่าได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินถูกต้องสมบูรณ์แล้ว ประกอบด้วย
เป็นพระมหาพิชัยมงกุฎทองคำลงยาราชาวดีประดับเพชร
สูง 66 เซนติเมตร น้ำหนัก 7.3 กิโลกรัม
สร้างขึ้นเป็นเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ในรัชกาลที่ 1
สมัยนั้นยอดพระมหาพิชัยมงกุฎ ยังเป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ประดับเพชรเม็ดเล็ก ๆ
จนถึงรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ผู้ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยไปเลือกสรรหาซื้อเพชรขนาดใหญ่มาจากประเทศอินเดีย
นำมาประดับยอดมงกุฎแทนพุ่มข้าวบิณฑ์ พระราชทานเพชรเม็ดนี้ว่า
"พระมหาวิเชียรมณี" เพชรเม็ดนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.6 เซนติเมตร
สูงประมาณ 1.4 เซนติเมตร
สมัยโบราณถือว่า มงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ และพระมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้ว ก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ แต่ต่อมาเมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้น จึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่า ภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่เวลาได้สวมมงกุฎ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงเชิญทูตานุทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธี และทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวม แต่นั้นมาก็ถือว่าพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และพระมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เป็นพระขรรค์โบราณ
เชื่อกันว่าเป็นพระราชศาสตราคู่บ้านคู่เมืองเขมร
สมัยพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์จมอยู่ในทะเลสาบเมืองนครเสียมราฐ
มาเป็นเวลานานเท่าใดไม่มีใครทราบ
ชาวประมงไปทอดแหติดขึ้นมาองค์พระขรรค์ยังดีไม่มีสนิมผุกร่อน
ท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง
และนครเสียมราฐ จึงได้มอบให้พระยาพระเขมร เชิญเข้ามาทูลเกล้าฯ
ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อปี 2327
จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ช่างทำด้ามพระขรรค์หุ้มทองคำลงยาราชาวดีลายเทพนม
ทำฝักหุ้มทองคำลงยาราชาวดีประดับมณีขึ้นด้วยฝีมืออันประณีตงดงาม
เสร็จแล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เชิญเป็นเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อปี
2328
ของเดิมสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1
เป็นพัดใบตาลแบบที่เรียกกันว่า พัชนีฝักมะขาม ที่ใบตาลปิดทอง ขอบขลิบทองคำ
ด้ามก็ทำด้วยทองคำต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระราชดำริว่า
ตามพระบาลีที่เรียกว่า "วาลวิชนี" นั้นไม่ควรจะเป็นพัดใบตาล
ควรจะเป็นเครื่องโบกปัดที่ทำด้วยขนจามรี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระแส้จามรีขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์
ภายหลังใช้ขนหางช้างเผือกแทน เรียกว่าพระแส้ขนหางช้างเผือก
แต่ก็ไม่อาจที่จะเลิกใช้พัดใบตาลของเดิมได้จึงโปรดให้ใช้ควบคู่กัน
โดยเรียกของสองสิ่งรวมกันว่า "วาลวิชนี"
![งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก]()
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก, จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๐ กันยายน ๒๕๓๗, เฟซบุ๊ก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ, เฟซบุ๊ก ThaiArmedForce.com

ภาพจาก phralan.in.th
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2562
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎ
พระราชทานปฐมบรมราชโองการแก่พสกนิกรชาวไทยทั้งหลายว่า
"เราจะสืบสานรักษาและต่อยอด
และครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป"
ในการนี้ ว่าด้วยเรื่องความสำคัญของเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องหมายแห่งความเป็นพระราชา ซึ่งพราหมณ์ผู้ทำพิธีจะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายในวันที่ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นเครื่องแสดงว่าได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินถูกต้องสมบูรณ์แล้ว ประกอบด้วย
พระมหาพิชัยมงกุฎ

สมัยโบราณถือว่า มงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ และพระมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้ว ก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ แต่ต่อมาเมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้น จึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่า ภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่เวลาได้สวมมงกุฎ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงเชิญทูตานุทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธี และทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวม แต่นั้นมาก็ถือว่าพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และพระมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระแสงขรรค์ชัยศรี

ภาพจาก phralan.in.th
พระแสงองค์นี้ เฉพาะองค์ยาว 64.5 เซนติเมตร
ที่สันตอนใกล้จะถึงด้ามคร่ำด้วยทองคำเป็นลวดลายงดงาม ด้ามพระขรรค์ ยาว 25.4
เซนติเมตร สวมฝักแล้วยาว 101 เซนติเมตร หนัก 1.9 กิโลกรัม

ภาพจาก เฟซบุ๊ก ThaiArmedForce.com
นอกจากนี้
พระแสงดาบอีกองค์หนึ่ง ที่มีการอัญเชิญออกมาตามเสด็จในพิธีวันนี้คือ
"พระแสงดาบคาบค่าย" หนึ่งในพระแสงดาบสำคัญที่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ทรงโปรดมีรับสั่งให้สร้างขึ้นมาใหม่แทนองค์เดิมของสมเด็จพระนเรศวรที่สูญหาญหายไปหลังจากการเสียกรุงครั้งที่
2
ธารพระกร

ภาพจาก phralan.in.th
เป็นไม้ชัยพฤกษ์ หุ้มทองคำตลอด ปลายสุดของธารพระกรทำเป็นซ่อมสามง่าม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงอธิบายไว้ว่า "ลักษณะก็เหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่สำหรับใช้ในการชักมหาบังสุกุล" ธารพระกรองค์นี้สร้างขึ้นเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์แต่รัชกาลที่ 1
พระวาลวิชนี

ภาพจาก phralan.in.th
ฉลองพระบาท

ภาพจาก phralan.in.th
เป็นฉลองพระบาทเชิงงอน
ทำด้วยทองคำยาราชาวดีฝังเพชร มีน้ำหนัก 650 กรัม
สร้างเป็นเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1
ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระมหาราชครูวามหามุนีเป็นผู้สวมถวาย

ภาพจาก เฟซบุ๊ก ThaiArmedForce.com
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก, จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๐ กันยายน ๒๕๓๗, เฟซบุ๊ก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ, เฟซบุ๊ก ThaiArmedForce.com